
หลายคนมักเข้าใจว่าความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงมักจะเกิดร่วมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองภาวะนี้ไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงเสมอไป และสามารถเกิดแยกจากกันได้ การที่มีระดับ LDL สูงแต่ความดันโลหิตต่ำ เป็นสิ่งที่พบได้ในทางการแพทย์
สาเหตุของการมี LDL สูงแต่ความดันต่ำ
LDL สูง อาจเกิดจาก:
- พันธุกรรม
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรคไทรอยด์
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ความดันต่ำ อาจเกิดจาก:
- การขาดน้ำ
- การเสียเลือด
- การใช้ยาลดความดันโลหิตมากเกินไป
- โรคหัวใจบางชนิด
- ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ
เหตุใดจึงเกิดร่วมกันได้
กลไกการเกิด LDL สูงกับความดันต่ำมีความแตกต่างกัน โดย LDL สูงเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันและพฤติกรรมการกิน ในขณะที่ความดันต่ำเกี่ยวข้องกับปริมาณเลือดในร่างกาย การทำงานของหัวใจ และระบบประสาทอัตโนมัติ ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าการมี LDL สูงจะส่งผลให้ความดันต่ำโดยตรง หรือในทางกลับกัน
ในบางกรณี อาจเกิดจากโรคหรือภาวะที่มีผลต่อทั้งสองระบบพร้อมกัน เช่น โรคต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการใช้ยาบางประเภทที่มีผลทั้งต่อระดับไขมันและความดันโลหิต
ลองนึกภาพว่า: ไขมัน LDL คือ “ไขมันไม่ดี” ที่ลอยในกระแสเลือด เหมือนเศษอาหารในท่อน้ำ ส่วนความดันโลหิต คือ แรงดันของเลือดที่ดันผนังเส้นเลือด เหมือนแรงดันน้ำในท่อ
สาเหตุที่ไขมัน LDL สูง อาจมาจากการรับประทานอาหารไขมันสูง พันธุกรรม หรือโรคบางชนิด ขณะที่ความดันต่ำ อาจเกิดจากการดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือผลจากยาบางชนิด
ข้อที่ควรระวัง คือ แม้ความดันท่านจะต่ำ แต่หากไขมัน LDL สูง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ค่ะ เพราะไขมันจะค่อยๆ สะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบตันในระยะยาวค่ะ
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
แม้ว่าความดันโลหิตจะต่ำ แต่หากมีระดับ LDL สูง ยังคงมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง เนื่องจาก LDL จะไปสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบตันในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของทั้งสองภาวะ และรับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
การจัดการกับ LDL สูง
การจัดการกับระดับ LDL ที่สูงมีหลายวิธี:
- ปรับเปลี่ยนอาหาร – ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม – การลดน้ำหนักจะช่วยลดระดับ LDL ได้
- งดสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์ – ทั้งสองอย่างส่งผลเสียต่อระดับไขมันในเลือด
- การใช้ยา – ในกรณีที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดไขมัน เช่น กลุ่มสแตติน
การใช้ Phytosterol ในการลด LDL
Phytosterol หรือ phytosterol esters เป็นสารที่พบในพืช มีโครงสร้างคล้ายกับคอเลสเตอรอล ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ได้ Phytosterol ทำงานโดย:
- แข่งขันกับคอเลสเตอรอลในการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก
- ช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายมากขึ้น
- ลดระดับ LDL โดยไม่ส่งผลต่อระดับ HDL (ไขมันดี)
- ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดมากนัก จึงมีความปลอดภัยสูง
มีการศึกษาวิจัยพบว่า การบริโภค phytosterol ประมาณ 2-3 กรัมต่อวัน สามารถลดระดับ LDL ได้ประมาณ 10-15% เมื่อใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนอาหารที่เหมาะสม แหล่งของ phytosterol ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรืออาหารที่เสริม phytosterol เช่น มาการีนบางชนิด โยเกิร์ต หรือเครื่องดื่มที่เสริม phytosterol
อย่างไรก็ตาม การใช้ phytosterol เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดการ LDL เท่านั้น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เสริม phytosterol โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาประจำ
สรุป
การที่มี LDL สูงแต่ความดันต่ำเป็นภาวะที่พบได้ และไม่ได้หมายความว่าร่างกายแข็งแรงดี ทั้งสองภาวะเกิดจากกลไกที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด การดูแลให้ทั้งระดับ LDL และความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว โดยอาจพิจารณาใช้ phytosterol เป็นทางเลือกหนึ่งในการช่วยลดระดับ LDL ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของแพทย์