
LDL และ อายุยืน: เรื่องของ “ไขมันเลว” กับสุขภาพที่คุณควรรู้
รู้จัก LDL หรือที่เรียกว่า “ไขมันเลว” กันหน่อย
สวัสดีครับ! วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง LDL หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ไขมันเลว” กันดีกว่า รู้ไหมว่าตัวเจ้า LDL นี่แหละที่มักถูกหมอถามถึงตอนตรวจสุขภาพประจำปี และมักเป็นตัวการที่ทำให้คุณหมอส่ายหัวพร้อมกับบอกว่า “คุณต้องระวังนะ ไขมันในเลือดสูง!”
แต่จริงๆ แล้ว LDL คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญกับสุขภาพและอายุขัยของเราขนาดนั้น?
LDL ย่อมาจาก Low-Density Lipoprotein ซึ่งเป็นพาหนะขนส่งคอเลสเตอรอลในเลือดของเรา คล้ายๆ กับรถบรรทุกที่คอยขนคอเลสเตอรอลจากตับไปส่งให้เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
จริงๆ แล้ว คอเลสเตอรอลไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจนะ! มันเป็นสารสำคัญที่ร่างกายใช้สร้างฮอร์โมน วิตามินดี และเยื่อหุ้มเซลล์ เรียกได้ว่าขาดไม่ได้เลยทีเดียว
แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเรามี LDL มากเกินไป… เหมือนกับถนนที่มีรถบรรทุกเยอะเกินไป จนเกิดการจราจรติดขัด และแทนที่รถบรรทุก (LDL) จะนำส่งสินค้า (คอเลสเตอรอล) ถึงปลายทาง มันกลับไปจอดเกะกะและทิ้งสินค้าไว้ตามข้างทาง นั่นคือผนังหลอดเลือดของเรานั่นเอง!
ทำไม LDL สูงถึงไม่ดีต่อสุขภาพ?
เมื่อ LDL สูงเกินไป มันจะเริ่มสะสมตัวที่ผนังหลอดเลือด เกิดเป็นคราบไขมัน (เรียกว่า “พลัค”) ที่ค่อยๆ หนาตัวขึ้นเรื่อยๆ คิดดูง่ายๆ ว่ามันเหมือนตะกรันที่เกาะตามท่อน้ำเก่าๆ นั่นแหละ!
ผลที่ตามมาก็คือ:
- หลอดเลือดแคบลง → เลือดไหลเวียนไม่สะดวก → อวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- ผนังหลอดเลือดอักเสบ → ดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวมาจัดการ → เกิดการอักเสบเรื้อรัง
- คราบไขมันแตกตัว → เกิดลิ่มเลือด → หลอดเลือดอุดตัน → หัวใจขาดเลือด (หัวใจวาย) หรือสมองขาดเลือด (อัมพฤกษ์ อัมพาต)
เห็นไหมล่ะว่า LDL สูงไม่ได้แค่เป็นตัวเลขบนกระดาษผลตรวจเท่านั้น แต่มันส่งผลจริงๆ ต่อสุขภาพและอายุขัยของเรา!
LDL เท่าไหร่ถึงจะ “พอดี”?
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า LDL ของเราสูงเกินไป? ค่าปกติของ LDL ในเลือดก็ดูได้จากตัวเลขนี้:
🟢 ระดับดีเยี่ยม: น้อยกว่า 100 มก./ดล. 🟡 ระดับค่อนข้างสูง: 100-129 มก./ดล. 🟠 ระดับสูง: 130-159 มก./ดล. 🔴 ระดับสูงมาก: 160 มก./ดล. ขึ้นไป
แต่ถ้าคุณมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว เช่น เป็นเบาหวาน มีประวัติหัวใจในครอบครัว หรือเคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน คุณหมออาจจะแนะนำให้ควบคุม LDL ให้ต่ำกว่า 70 มก./ดล. เลยทีเดียว
เรื่องจริงของ LDL กับอายุยืน
มีงานวิจัยมากมายที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง LDL กับอายุขัย แต่เราจะพูดกันแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า:
1. LDL สูงตั้งแต่อายุน้อย = เจ็บป่วยเร็วกว่า
จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า คนที่มี LDL สูงตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (20-30 ปี) จะเริ่มมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัวเร็วกว่าคนทั่วไปถึง 10-20 ปี!
ลองนึกภาพว่า ถ้าเรามี LDL สูงตั้งแต่อายุ 30 เราอาจเริ่มมีอาการของโรคหัวใจตั้งแต่อายุ 50 ในขณะที่คนที่ควบคุม LDL ได้ดีอาจไม่มีปัญหาเลยจนถึงอายุ 70 หรือมากกว่านั้น
2. ทุกๆ 1% ที่ LDL ลดลง = ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง 1-2%
งานวิจัยชี้ว่า ถ้าเราสามารถลด LDL ลงได้ทุกๆ 1% ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะลดลงประมาณ 1-2% เลยทีเดียว
สมมติว่าเราทำให้ LDL ลดลงจาก 160 เหลือ 120 (ลดลง 25%) ความเสี่ยงโรคหัวใจของเราก็จะลดลงประมาณ 25-50% เลยนะ นี่ไม่ใช่ตัวเลขเล็กๆ เลย!
3. การควบคุม LDL ตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ผลดีกว่ามาก
มีการศึกษาที่น่าสนใจมากที่เรียกว่า “Mendelian Randomization Studies” ศึกษาคนที่มียีนพิเศษที่ทำให้มี LDL ต่ำตั้งแต่เกิด พบว่าคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 80%!
เทียบกับคนที่เริ่มกินยาลดไขมันตอนอายุ 60 ซึ่งลดความเสี่ยงได้แค่ 30-40% เท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าระยะเวลาที่ LDL ของเราอยู่ในระดับต่ำมีความสำคัญมากๆ

มุมมองที่น่าสนใจ: ข้อถกเถียงเรื่อง LDL กับอายุยืน
แต่เรื่อง LDL ก็ไม่ได้ขาวดำไปเสียทีเดียว มีข้อถกเถียงที่น่าสนใจหลายประเด็น:
“LDL สูงในผู้สูงอายุ อาจไม่อันตรายเท่าที่คิด?”
มีงานวิจัยบางชิ้นที่พบว่า ในคนที่อายุเกิน 70 ปี ระดับ LDL ที่สูงกลับไม่ได้สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น บางงานวิจัยถึงกับพบว่า ผู้สูงอายุที่มี LDL สูงกว่าอาจมีอายุยืนกว่า!
ฟังดูประหลาดใช่ไหม? แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านี่อาจเกิดจาก:
- คนที่มี LDL สูงมากๆ มักจะเสียชีวิตไปก่อนแล้ว จึงไม่เหลือให้เห็นในกลุ่มผู้สูงอายุ
- ผู้สูงอายุที่มี LDL ต่ำอาจป่วยด้วยโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่ทำให้ LDL ลดลง (เช่น มะเร็ง)
- ในผู้สูงอายุ คอเลสเตอรอลอาจมีบทบาทในการป้องกันการติดเชื้อและภาวะทุพโภชนาการ
“คุณภาพของ LDL สำคัญกว่าปริมาณ?”
นักวิจัยพบว่า นอกจากปริมาณ LDL แล้ว “ขนาด” ของอนุภาค LDL ก็สำคัญไม่แพ้กัน:
- LDL ขนาดเล็ก: อันตรายกว่า เพราะแทรกซึมเข้าผนังหลอดเลือดได้ง่าย และถูกออกซิไดซ์ได้ง่ายกว่า
- LDL ขนาดใหญ่: อันตรายน้อยกว่า เพราะไม่ค่อยแทรกซึมเข้าผนังหลอดเลือด
คนที่กินน้ำตาลเยอะ เป็นเบาหวาน หรืออ้วนลงพุง มักจะมี LDL ขนาดเล็กเยอะ แม้ว่าค่า LDL รวมอาจไม่สูงมากก็ตาม
“LDL ต่ำเกินไปก็ไม่ดี?”
คอเลสเตอรอลเป็นสารสำคัญต่อร่างกาย ดังนั้นการที่ LDL ต่ำเกินไปก็อาจเป็นปัญหาได้:
ถ้า LDL ต่ำกว่า 40 มก./ดล. อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ:
- เลือดออกในสมอง เพราะผนังหลอดเลือดบางเกินไป
- ระบบประสาททำงานผิดปกติ
- ภาวะซึมเศร้า
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
แต่กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะการที่ LDL จะต่ำขนาดนั้นเป็นเรื่องยาก เว้นแต่จะใช้ยาลดไขมันขนาดสูงมากๆ
7 วิธีดูแลตัวเองให้ LDL อยู่ในระดับดี และมีอายุยืนยาว
ทีนี้เรามาดูกันว่า เราจะทำยังไงให้ LDL อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาวกันดีกว่า:
1. ปรับอาหารการกิน – คุณเป็นอย่างที่คุณกิน!
อาหารมีผลมหาศาลต่อระดับ LDL ของเรา ลองทำตามนี้ดู:
🍎 เพิ่มอาหารที่ช่วยลด LDL:
- ผักและผลไม้สดเยอะๆ (ทำให้อิ่มโดยไม่เพิ่มแคลอรี่)
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลเกรน (มีไฟเบอร์สูง ช่วยจับไขมัน)
- ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์, วอลนัท (มีไขมันดี)
- ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน, ปลาทูน่า (มีโอเมก้า-3)
- น้ำมันมะกอก, น้ำมันรำข้าว (มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว)
🍔 ลดอาหารที่เพิ่ม LDL:
- อาหารทอด หรือมีไขมันทรานส์ (เบเกอรี่, ขนมขบเคี้ยว)
- เนื้อแดงติดมัน เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก, แฮม, เบคอน
- นมและผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม
- อาหารขยะ, ขนมหวาน, น้ำอัดลม (น้ำตาลสูงทำให้เกิด LDL ขนาดเล็ก)
เคล็ดลับ: ลองเพิ่มอาหารที่มีไฟเบอร์ละลายน้ำได้ เช่น ข้าวโอ๊ต, อาร์ติโชค, บรอกโคลี่ เพราะมันช่วยจับ LDL และพาออกจากร่างกายได้โดยตรง!
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – แค่ขยับก็ช่วยได้!
การออกกำลังกายไม่ได้แค่เผาผลาญแคลอรี่เท่านั้น แต่ยังช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือดอีกด้วย:
- ออกกำลังแบบแอโรบิค: เดินเร็ว, วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาที, 5 วันต่อสัปดาห์
- เพิ่มการออกกำลังแบบใช้แรงต้าน: ยกน้ำหนัก, โยคะ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
รู้ไหม? การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) ที่คอยกวาด LDL ออกจากหลอดเลือด และยังช่วยเปลี่ยน LDL ขนาดเล็กที่อันตรายให้เป็น LDL ขนาดใหญ่ที่อันตรายน้อยกว่าอีกด้วย!
3. คุมน้ำหนักให้พอดี – อย่าให้พุงยื่น!
ความอ้วนโดยเฉพาะอ้วนลงพุงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ LDL ที่สูงขึ้น:
- พยายามรักษา BMI ให้อยู่ระหว่าง 18.5-24.9
- วัดรอบเอวให้น้อยกว่า 90 ซม. (สำหรับผู้ชาย) หรือ 80 ซม. (สำหรับผู้หญิง)
เคล็ดลับ: การลดน้ำหนักแค่ 5-10% สามารถลด LDL ได้ถึง 5-8%!
4. งดบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์ – ความเสี่ยงที่ควบคุมได้
บุหรี่ทำให้ LDL เสียหายและเป็นอันตรายมากขึ้น ส่วนแอลกอฮอล์ปริมาณมากเพิ่มไตรกลีเซอไรด์และทำให้ตับทำงานหนัก:
- เลิกบุหรี่โดยสิ้นเชิง – ไม่มีปริมาณที่ปลอดภัย
- จำกัดแอลกอฮอล์ – ไม่เกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง หรือ 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย
5. ลดความเครียด – จิตใจสงบ หลอดเลือดก็แข็งแรง
ความเครียดเรื้อรังเพิ่มระดับคอร์ติซอล ซึ่งทำให้ตับผลิต LDL มากขึ้น:
- ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ, สมาธิ, โยคะ
- นอนหลับให้เพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน)
- หาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและมีความสุข
6. ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ – รู้เร็ว แก้ไขได้ทัน
การตรวจระดับไขมันในเลือดเป็นประจำช่วยให้คุณติดตามสถานการณ์และปรับพฤติกรรมได้ทันท่วงที:
- อายุ 20-39 ปี: ควรตรวจทุก 3-5 ปี
- อายุ 40 ปีขึ้นไป: ควรตรวจทุกปี
- หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ: ควรตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
7. ยาลดไขมัน – เมื่อวิธีธรรมชาติไม่เพียงพอ
หากปรับพฤติกรรมแล้วระดับ LDL ยังสูงอยู่ คุณหมออาจพิจารณาให้ยา:
- สแตติน (Statins): ยาหลักที่ใช้ลด LDL ได้ 20-60%
- Ezetimibe: ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้
- PCSK9 inhibitors: ยากลุ่มใหม่ที่ฉีดทุก 2-4 สัปดาห์ ลด LDL ได้ถึง 60%
สำคัญ: ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และแจ้งแพทย์หากมีผลข้างเคียง อย่าหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ LDL ที่คุณควรรู้
มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับ LDL ที่อาจทำให้คุณสับสน:
เข้าใจผิด #1: “ไข่ทำให้ LDL สูง ห้ามกิน!”
✅ ความจริง: การศึกษาล่าสุดพบว่า ไข่มีผลน้อยมากต่อระดับ LDL ในคนส่วนใหญ่ แถมยังให้โปรตีนคุณภาพดีและสารอาหารมากมาย กินได้ 1-2 ฟองต่อวัน
เข้าใจผิด #2: “ถ้า LDL สูง ต้องกินยาตลอดชีวิต!”
✅ ความจริง: หลายคนสามารถลด LDL ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างจริงจัง แต่ถ้าจำเป็นต้องกินยา ประโยชน์ก็มากกว่าความเสี่ยงมาก
เข้าใจผิด #3: “อาหารไขมันต่ำดีที่สุดสำหรับหัวใจ”
✅ ความจริง: อาหารที่เน้นไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว และปลา ดีกว่าอาหารไขมันต่ำที่มักมีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง
เข้าใจผิด #4: “ยาลดไขมันอันตราย มีผลข้างเคียงเยอะ!”
✅ ความจริง: ยาลดไขมันส่วนใหญ่ค่อนข้างปลอดภัย ผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อย และประโยชน์มักมากกว่าความเสี่ยง

Plant Phytosterol: ทางเลือกธรรมชาติในการลด LDL ที่น่าสนใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีลด “ไขมันเลว” LDL แบบธรรมชาติเพิ่มเติม คุณควรรู้จักกับ plant phytosterol (พลานท์ ไฟโตสเตอรอล) สารพฤกษเคมีที่มีประสิทธิภาพในการลด LDL โดยไม่ต้องพึ่งยา
Plant Phytosterol คืออะไร?
Plant phytosterol เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอเลสเตอรอลที่พบในธรรมชาติ แต่มาจากพืช ความพิเศษของสารนี้คือความสามารถในการแข่งขันกับคอเลสเตอรอลในการดูดซึมที่ลำไส้ ทำให้ร่างกายดูดซึมคอเลสเตอรอลได้น้อยลง
กลไกการทำงาน: วิธีที่ Plant Phytosterol ลด LDL
เมื่อเรารับประทานอาหารที่มี plant phytosterol เข้าไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
- แย่งจับกับเอนไซม์: Plant phytosterol แย่งจับกับเอนไซม์ที่ย่อยคอเลสเตอรอลในลำไส้
- แย่งพื้นที่การดูดซึม: เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายคอเลสเตอรอล จึงแย่งพื้นที่การดูดซึมที่ผนังลำไส้
- ขัดขวางการจัดเรียงตัว: ทำให้ไมเซลล์ (micelles) ที่ขนส่งคอเลสเตอรอลไม่สามารถจัดเรียงตัวได้สมบูรณ์
- ผลลัพธ์: คอเลสเตอรอลถูกดูดซึมน้อยลง และถูกขับออกจากร่างกายมากขึ้น
ประสิทธิภาพในการลด LDL
งานวิจัยจำนวนมากยืนยันประสิทธิภาพของ plant phytosterol:
- การบริโภค plant phytosterol ในปริมาณ 2-3 กรัมต่อวัน สามารถลด LDL ได้ 8-15%
- ผลดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับอาหารลดคอเลสเตอรอลอื่นๆ (สามารถเสริมกันได้กับการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง)
- สำหรับผู้ที่ใช้ยาสแตติน การเพิ่ม plant phytosterol จะช่วยลด LDL ได้อีก 4-7% (เสริมฤทธิ์กัน)
แหล่งที่มาของ Plant Phytosterol ในธรรมชาติ
Plant phytosterol พบได้ในอาหารหลายชนิด แต่มักมีปริมาณน้อย:
- ธัญพืชที่ไม่ขัดสี: ข้าวโอ๊ต, ข้าวกล้อง, ข้าวบาร์เลย์
- ถั่วเปลือกแข็ง: อัลมอนด์, วอลนัท, เม็ดมะม่วงหิมพานต์
- พืชตระกูลถั่ว: ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา, ถั่วเขียว
- ผักและผลไม้: แอปเปิ้ล, ส้ม, มะเขือเทศ, บรอกโคลี่
- น้ำมันพืช: น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันรำข้าว
อย่างไรก็ตาม การได้รับ plant phytosterol ในปริมาณที่เพียงพอ (2-3 กรัม/วัน) จากอาหารธรรมชาติทำได้ยาก เพราะจะต้องรับประทานในปริมาณมาก
ผลิตภัณฑ์เสริม Plant Phytosterol ในท้องตลาด
เพื่อให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ มีผลิตภัณฑ์ที่เสริม plant phytosterol จำหน่ายในท้องตลาด:
- มาการีนและเนยเทียมเสริม plant phytosterol: มักพบในชื่อทางการค้าต่างๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ต
- โยเกิร์ตเสริม plant phytosterol: ทางเลือกสำหรับผู้ที่ชอบผลิตภัณฑ์นม
- เครื่องดื่มเสริม plant phytosterol: มักมีรสผลไม้ ทานง่าย
- อาหารเสริม (supplement): มีทั้งแบบเม็ดและแคปซูล
วิธีการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด
การใช้ plant phytosterol ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดควรทำดังนี้:
- รับประทานพร้อมมื้ออาหาร: ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากต้องทำงานพร้อมกับการย่อยไขมัน
- แบ่งทานวันละ 2-3 มื้อ: ดีกว่าการทานครั้งเดียวทั้งหมด
- ใช้อย่างต่อเนื่อง: ผลจะเริ่มเห็นได้ใน 2-3 สัปดาห์ และดีที่สุดหลังใช้ 4 สัปดาห์ขึ้นไป
- ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ไม่ใช่วิธีเดียวในการลด LDL
ข้อควรระวังและข้อจำกัด
แม้ plant phytosterol จะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่มีข้อควรระวัง:
- อาจลดการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน: วิตามิน A, D, E และ K บางส่วน (แต่ไม่มากนัก)
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มี sitosterolemia: ภาวะที่ร่างกายดูดซึม plant phytosterol มากเกินไป (พบได้น้อยมาก)
- ไม่แนะนำสำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์: เนื่องจากข้อมูลการศึกษายังมีจำกัด
- ปรึกษาแพทย์หากใช้ยาลดไขมันอยู่แล้ว: เพื่อการปรับขนาดยาที่เหมาะสม
กรณีศึกษา: ผลของ Plant Phytosterol ในชีวิตจริง
คุณวิชัย (อายุ 53 ปี) มี LDL 165 mg/dL แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ยังไม่อยากเริ่มใช้ยา แพทย์แนะนำให้ลองใช้มาการีนเสริม plant phytosterol วันละ 2 ช้อนโต๊ะ (ได้ plant phytosterol ประมาณ 2 กรัม/วัน)
หลังจาก 3 เดือน LDL ของคุณวิชัยลดลงเหลือ 142 mg/dL (ลดลง 14%) โดยไม่ต้องใช้ยา และเมื่อเขายังคงทานอาหารสุขภาพและออกกำลังกายร่วมด้วย LDL ลดลงเหลือ 130 mg/dL ในอีก 3 เดือนถัดมา
สรุป: Plant Phytosterol กับการมีสุขภาพดีและอายุยืน
Plant phytosterol เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่:
- มี LDL สูงในระดับไม่มาก (130-160 mg/dL)
- ต้องการวิธีธรรมชาติก่อนเริ่มใช้ยา
- ใช้ยาลดไขมันอยู่แล้วแต่ต้องการเสริมประสิทธิภาพ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจและต้องการป้องกันล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม plant phytosterol ไม่ใช่สารวิเศษ แต่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในกล่องเครื่องมือของการดูแลสุขภาพหัวใจ ซึ่งควรใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย การไม่สูบบุหรี่ การจัดการความเครียด และการตรวจสุขภาพประจำปี
เมื่อใช้ในบริบทของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม plant phytosterol สามารถเป็นตัวช่วยที่มีค่าในการรักษาระดับ LDL ให้อยู่ในเกณฑ์ดี เพื่อหัวใจที่แข็งแรงและอายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ